ขงเบ้งเชิญเทพยดาให้เรียกลมมาเผาทัพเรือโจโฉได้จริงหรือ ?
โดย  พล.ต.ต.สุชาติ  เผือกสกนธ์

    รายการโทรทัศน์ที่กำลังได้รับความนิยมจากผู้ชมเป็นอย่างสูงเมื่อสองสามปีมาแล้วรายการหนึ่งน่าจะได้แก่ ภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์จีน  เรื่อง  "สามก๊ก"  ซึ่งแบ่งฉายเป็นตอนๆ   ผมซึ่งเป็นแฟนประจำคนหนึ่งยอมรับว่าภาพยนต์เรื่องนี้ยิ่งใหญ่จริงๆทุกแง่ทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นการ    ลงทุน การกำกับการแสดง การจัดฉาก การคัดเลือกตัวผู้แสดง จำนวนผู้ร่วมแสดง ฯลฯ  ซึ่งมิใช่ลักษณะของภาพยนตร์จีน แบบกำลังภายใน หรือแบบงิ้วเช่นเรื่องอื่นๆ       เมื่อสมัยผมเป็นนักเรียนได้มีโอกาสอ่านเรื่อง   "สามก๊ก"   ฉบับเจ้าพระยาคลัง ( หน )      ในห้องเรียนมาแล้ว    ยังพอจำความเรื่องราวได้บ้างแต่ก็มิได้ประทับใจเช่นกับที่ได้ชมจากภาพยนตร์เรื่องนี้  เมื่อวัยเด็กนั้นนอกจากเรื่อง "สามก๊ก" แล้ว     ผมได้มี   โอกาสอ่านเรื่องจีนจากหนังสือพิมพ์มาแล้วอีกหลายเรื่อง เช่น เรื่องเจ็งฮองเฮา ชั่นบ้อเหมา ซิยิ่นกุ้ย ฯลฯ จึงรู้จักคำว่า "ตงฉิน" และ "กังฉิน" มากพอสมควร  ขุนนางตงฉิน หมายถึง ขุนนางที่ซื่อสัตย์ ไม่คดโกง เช่น "เปาบุ้นจิ้น" ส่วนขุนนางกังฉิน ได้แก่ ขุนนางที่ฉ้อราษฎร์  บังหลวง คดโกง คอรัปชั่น กดขี่ข่มเหงประชาชน ฯลฯ ทั้งสองประเภทนี้จะต้องมีคู่กันในเรื่องจีนทุกเรื่อง    ถ้ามีเพียงอย่างหนึ่งอย่างใดเรื่องนั้นคงจะ   ไม่มีรสชาติ  เมื่อตอนเรียนเรื่อง "สามก๊ก" ผมมีความเข้าใจว่า โจโฉ เป็นขุนนางประเภทกังฉิน มีร้อยเล่ห์เพทุบายคดโกงสาระพัด  แต่เมื่อได้   ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ทางโทรทัศน์ในปัจจุบันจึงทราบและเข้าใจว่าโจโฉมิใช่คนกังฉินอย่างที่คาดคิด  ถึงแม้ว่าตามเนื้อเรื่องจะบ่งคุณลักษณะ  ของโจโฉไปในลักษณะคนร้อยเล่ห์เพทุบายก็ตาม แต่ก็มีหลายบทหลายตอนแสดงให้เห็นว่า โจโฉ เป็นคนมีสัจจะมีคุณธรรมไม่แพ้ตัวเอกอื่นๆ โจโฉจำเป็นต้องเป็นคนร้อยเล่ห์เพทุบายก็เพื่อต้องการที่จะเผด็จศึกคู่ต่อสู้เท่านั้น รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องของโจโฉนี้   ผมจะไม่ขอกล่าวถึง   มากนักเพราะไม่ใช่วัตถุประสงค์สำคัญในการเขียนเรื่องนี้

   ผมได้เขียนบทความโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า วิชาโหราศาสตร์ดวงดาวมิใช่ศาสตร์ที่เหลวไหลหลอกลวง แต่เป็นวิทยาศาสตร์   แขนงหนึ่งซึ่งสามารถนำมาประยุกต์กับวิทยาศาสตร์แขนงอื่นๆได้   ดังนั้นเมื่อดูชื่อของบทความนี้แล้วค่อนข้างจะยาวเป็นพิเศษและเกี่ยวข้อง   โดยตรงกับเรื่อง  สามก๊ก   ตอน  "เผาทัพเรือโจโฉ"  ท่านที่ได้ชมภาพยนตร์ตอนนี้ หรือ เคยอ่านเรื่องราวมาแล้ว  คงจะจำได้ว่าเล่าปี่โดยขงเบ้ง  ได้ร่วมกับซุ่นกวนโดยจิวยี่วางแผนเผาทัพเรือของโจโฉซึ่งมีกำลังมหาศาลที่เข้ามาประชิดเมืองเกงจิ๋วโดยขงเบ้งเป็นผู้ทำพิธีเชิญเทพยดา
มาดลบันดาลให้ลมพัดเปลี่ยนทิศทางต้นลมจากด้านกองทัพเรือโจโฉมาอยู่ทางด้านกองทัพจิวยี่แทนได้อย่างน่ามหัศจรรย์   จิวยี่จึงสามารถเผา   ทัพเรือโจโฉได้โดยอาศัยแรงลมที่เปลี่ยนทิศนี้เองจนสำเร็จ ผมเชื่อว่าคงจะมีท่านผู้ชมอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังกังขาอยากทราบว่าข้อเท็จจริง   ของตอนนี้เป็นอย่างไร เป็นเรื่องจริงอิงนิยาย ?   รือเป็นเรื่องอภินิหารของคนโบราณซึ่งผู้บันทึกจดหมายเหตุและพงศาวดารมักนิยมแต่งเติม
เสริมความให้เป็นที่น่าเลื่อมใสของคนรุ่นหลัง  หนังสือเรื่อง "สามก๊ก" ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในตอนนี้ไว้ว่า
 "....ขงเบ้งรับเอากระบี่แล้วพาโลซกและทหารทั้งปวงไป ณ เขาลำปินสาน แล้วทำเป็นดูภูมิที่ให้ทหารปลูกร้านสามชั้น สูงชั้นละสามศอกเศษ ชั้นต้นนั้นกว้างยี่สิบวายาวยี่สิบวา แล้วให้ขุดเอาดินทิศอาคเนย์มาปั้นเป็นรูปมังกร....
 ....ฝ่ายขงเบ้งเมื่อเดือนอ้ายแรมสามค่ำเวลาเช้าก็อาบน้ำชำระกายแต่งตัวใส่เสื้อบงเฉียงสยายผมแล้วจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า บัดนี้เราจะทำการใหญ่แต่บรรดาทหารซึ่งเราจัดไว้นี้ ถ้าเห็นเราทำประการใดก็อย่าให้พูดจาเดินไปจากที่นี่ให้นิ่งปรกติอยู่กว่าเราจะสำเร็จ แม้ผู้ใดไม่ฟังเราจะเอากระบี่อาญาสิทธิ์ซึ่งจิวยี่ให้มานี้ตัดศีรษะเสีย ครั้นกำชับทหารแล้วขงเบ้งก็ขึ้นไปบนร้านชั้นบน จึงจุดธูปเทียนขึ้นบูชาแล้วทำนั่งอ่านมนตร์เรียกลมอยู่     ครั้นเวลาอันสมควรแล้วก็พาทหารทั้งนั้นลงมาอาบน้ำกินอาหาร
แล้วก็กลับขึ้นไปทำการอยู่ดังเก่า....
....เวลาเช้าจนรุ่งก็มิได้เห็นลมพัดกลับไป จิวยี่จึง(กล่าว)แก่โลซกว่า ขงเบ้งนั้นไปทำการวันกับคืนหนึ่งแล้วก็มิได้มีลมสลาตัน โลซกจึงว่า ขงเบ้งทำนั้นเห็นจะได้การอยู่ ครั้นพูดกันดังนั้นแล้วก็ชวนกันคอยดูตั้งแต่เช้าจนเวลาสองยามเศษจึงได้ยินเสียงอื้ออึงข้างทิศอาคเนย์ จิวยี่จึงพาโลซกออกมาดูกลางแจ้งก็มิได้เห็นลมว่าวและลมตะวันตกพัดมาสงบเป็นปรกติอยู่ อีกสักครู่ลมสลาตันก็พัดหนักมา
จิวยี่ก็มีความยินดีแล้วว่าแก่โลซกว่า อันสติปัญญาขงเบ้งรู้ตำราเรียกลมในอากาศหาผู้ใดเสมอมิได้
อุปมาดังจะนับดาวในท้องฟ้าและหยั่งพระมหาสมุทรอันลึกได้...."
 ประเด็นที่จะได้หยิบยกมากล่าวต่อไปก็คือ ขงเบ้งสามารถอัญเชิญเทพยดามาเพื่อขอให้ช่วยเปลี่ยนทิศทางลมให้ได้จริงหรือ ?
ถ้าไม่จริง ขงเบ้งทราบล่วงหน้าได้อย่างไรว่า ลมจะมีการเปลี่ยนทิศ    จึงกล้าอาสากระทำการโดยเอาชีวิตของตนเป็นประกัน?
หากเป็นยุคสมัยนี้ เรื่องการพยากรณ์ล่วงหน้าว่า ลมพายุจะมีทิศทางการเคลื่อนที่ไปในทิศทางใดด้วยความเร็วเท่าใดนั้น  สามารถกระทำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำเนื่องจากมีเครื่องมือที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยช่วยตรวจสอบ และมีการประสานงานระหว่างหน่วยอุตุนิยมต่างๆทั่วโลก   เว้นแต่ในกรณีที่พายุนั้นเกิดขึ้นโดยฉับพลันมิได้คาดคิดทราบล่วงหน้ามาก่อน  ตามความในเรื่อง "สามก๊ก" ตอนนี้ก็จะเห็นได้ชัดว่า มิได้มีวี่แววว่าลมจะมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางได้โดยฉับพลันซึ่งเป็นสาเหตุทำให้
โจโฉเกิดความประมาทไม่ยอมรับฟังคำท้วงติงของบรรดาที่ปรึกษาจนเกิดการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงในครั้งนี้
 เรื่องการอัญเชิญเทพยดาให้มาช่วยเหลือนั้นดูจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ  แม้แต่ผู้แปลเรื่องนี้ก็ยังใช้ข้อความบางตอนไว้ในเอกสารอ้างอิงข้างต้นว่า "...แล้วทำเป็นดูภูมิที่ให้ทหารปลูกร้านสามชั้น..." บ้าง  "...จึงจุดธูปเทียนขึ้นมาบูชาแล้วทำนั่งอ่านมนตร์เรียกลมอยู่..."
นอกจากนี้ ท่านผู้ชมอีกจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะท่านที่เคยหรือกำลังศึกษาวิทยาศาสตร์ก็คงจะลงความเห็นสอดคล้องกันว่า เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระเช่นกัน   สำหรับประเด็นนี้ผมมีความเห็นเป็นการส่วนตัวว่า ขงเบ้งเป็นผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ  ปฏิภาณปราดเปรื่อง  ทั้งยังมีความรู้ในไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ และศาสตร์อื่นๆอีกหลายสาขาเหนือบุคคลทั่วไป  การที่บุคคลจะมีขีดความ   สามารถเช่นขงเบ้งนี้จะต้องมี "พรสวรรค์" มาแต่ดั้งเดิม ทั้งจะต้องเป็นผู้ที่มีสมาธิสูงส่งที่ช่วยส่งเสริมให้เจ้าตัวมีปัญญาเฉียบแหลมเป็นเยี่ยม สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธองค์เรื่อง "ศีล สมาธิ ปัญญา" การมีสมาธิสูงในลักษณะนี้จึงทำให้น่าเชื่อว่า ขงเบ้งสามารถติดต่อกับ
พลังเร้นลับ ที่เรียกกันว่า "พลังพรหม หรือ พลังเทพย์" ได้   แต่จะแรงเพียงพอที่จะใช้พลังเหล่านี้มาเรียกลมพายุได้หรือไม่เพียงใดนั้น
เป็นสิ่งที่พิสูจน์ทราบได้ยาก เพราะศาสตร์แขนงนี้เป็นศาสตร์ที่จะศึกษา หรือปรากฏผลให้เห็นได้เป็นการเฉพาะบุคคล มิใช่ศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ความเป็นไปได้ให้ปรากฏเป็นหลักฐานที่ใช้อ้างอิงหรือเขียนเป็นบทเรียนให้บุคคลทั้วไปศึกษากัน
เช่นศาสตร์แขนงอื่นๆได้ปัจจุบันนี้    หากมิใช่เป็นเช่นประเด็นแรก คำถามต่อมาก็คือ "ขงเบ้งใช้ศาสตร์อะไรในการทำพิธีครั้งนี้ ?"  ทั้งที่ในยุคสมัยนั้นวิชาการทั้งเครื่องมือเครื่องใช้ในกิจการอุตุนิยมวิทยาก็ยังไม่ทันสมัยเช่นในปัจจุบัน
ประเด็นนี้ ผมขอตอบแทนขงเบ้งให้เลยว่า ใช้วิชาการโหราศาสตร์ดวงดาวที่ของเบ้งได้ร่ำเรียนมานั่นเอง ขงเบ้งเคยกล่าวกับโลซกว่า "ผู้ที่จะเป็นผู้นำทัพที่ดีจำเป็นต้องศึกษาทั้งเวทมนต์คาถาและโหราศาสตร์ประกอบด้วย"

คำตอบของผมที่ตอบแทนขงเบ้งนั้นมิใช่เป็นเรื่องราวที่เหลวไหลไร้สาระเพราะสามารถนำเอาวิชาการโหราศาสตร์ดวงดาวที่ผมได้ศึกษา
ค้นคว้ามาเป็นเวลานานมาพิสูจน์ยืนยันกันได้   ดังจะกล่าวต่อไปนี้

จากการคำนวณย้อนหลังกลับไปจนถึงวันที่ขงเบ้งได้ทำพิธีเชิญเทพยดามาเพื่อขอให้ลม พายุพัดเปลี่ยนทิศทางไปเผากองทัพเรือโจโฉ
เพื่อตรวจสอบหาจุดที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ต่างๆตามหลักวิชาโหราศาสตร์ดวงดาวได้ผลเป็นที่น่าเชื่อว่า วันที่ขงเบ้งเริ่มทำพิธีเรียกลม   ซึ่งหนังสือฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน)  ได้ระบุว่า เป็นเดือนอ้ายแรมสามค่ำนั้นน่าจะตรงกับวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 207 (หรือย้อนหลังไปประมาณสิบเจ็ดศตวรรษ) และวันที่บรรลุผลเกิดลมพายุขึ้นคือวันที่ 7 มกราคม ค.ศ.207 เวลาหลังเที่ยงคืนไปแล้ว เมื่อได้วางจุดที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ต่างๆในวันเวลานั้นไว้ในดวงจะได้ดังที่แสดงไว้ในภาพประกอบตามดวงที่ผมได้คำนวณ  และผูกไว้นี้

มีดาวเสาร์สถิตอยู่ในราศีมิถุนซึ่งเป็นราศีธาตุ ลมประการหนึ่ง ดาวพฤหัสบดีสถิตอยู่ในราศีกุมภ์ซึ่งเป็นราศีธาตุลมเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีดาวอังคารสถิตอยู่ในราศีธนูร่วมทับดาวราหูเกือบสนิท ดาวอังคารและดาวราหูนี้ ตามตำรามหาทักษาไทยกล่าวว่า
เป็นดาวคู่ธาตุลม ดาวทั้งหมดในกลุ่มนี้มีเชิงมุมองศาถึงกันทั้งสิ้น กล่าวคือดาวเสาร์เล็งดาวอังคารร่วมกับดาวราหูทำมุมประมาณ 180 องศา และทำมุมประมาณ 120 องศา (ตรีโกณ) กับดาวพฤหัสบดี    ปรมาจารย์โหราศาสตร์อินเดียท่านหนึ่งคือ B.V. RAMAN  ได้กล่าวถึงอิทธิพลของ
ดาวพระเคราะห์ที่มีต่อดินฟ้าอากาศของโลกไว้เป็นสาระว่า "...ลมทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จะมีความรุนแรง ในกรณีที่ดาวเสาร์ หรือดาวอังคาร สถิตในราศีมิถุน ราศีตุลย์ หรือ ราศีกุมภ์ ราศีหนึ่งราศีใด และดาวพระเคราะห์ทั้งสองโคจรมาเล็งกัน หรือ ทำมุม 90 องศาแก่กัน ... ดาวเสาร์จะมีอิทธิพลต่อลมมรสุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ดาวพฤหัสบดีมีอิทธิพลต่อลมทิศตะวันตกเฉียงใต้ ... หากดวงดาวใดสถิตในราศีธาตุลมด้วยแล้วจะส่งผลในเรื่องทิศทางได้แน่นอนขึ้น..."
(PLANETARY INFLUENCES ON HUMAN by B.V.RAMAN)
จะเห็นได้ว่า จุดที่ตั้งจองดาวพระเคราะห์ทั้งสามคือ ดาวเสาร์ ดาวอังคาร และ ดาวพฤหัสบดีสถิตอยู่ในราศี และทำมุมถึงกันตรงตามตำรา
ที่ท่าน B.V.RAMAN ได้กล่าวไว้ นอกจากนี้ ดาวอังคารยังอยู่ร่วมทับทันองศาของดาวราหูซึ่งเป็นดาวคู่ธาตุลมอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเลยที่ในช่วงเวลาที่ขงเบ้งทำพิธีขอให้เทพยดาดลบันดาลให้ลมพายุพัดไปทางทิศตะวันตก ทั้งที่ในฤดูกาลนั้นควรจะมีแต่ลมทิศตะวันออกทางเดียวดังที่โจโฉได้กล่าวไว้แก่บรรดากุนซือของตนก่อนหน้านั้น ที่ผมได้กล่าวไว้ข้งต้นนี้จึงช่วยส่งเสริมคำพยากรณ์ให้แน่นแฟ้นได้เลยว่า จะบังเกิดลมพายุรุนแรงพัดจากทิศตะวันออกไปทางทิศ
ตะวันตกซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทัพเรือของโจโฉ  ดังนั้น เมื่อจิวยี่เทราดน้ำมันลงไปในแม่น้ำแล้วจุดไฟ ลมพายุที่เกิดขึ้นจึงช่วยทำให้เพลิงลุกลาม
ไปเผากองทัพเรือของโจโฉซึ่งถูกตรึงไว้ด้วยโซ่โดยเพทุบายของฝ่ายจิวยี่จนพินาศสิ้นด้วยเหตุผลทางโหราศาสตร์ดวงดาวที่ปรมาจารย์ชาติต่างๆ  ได้ประมวลรวบรวมไว้เป็นสถิติพยากรณ์มาเป็นพันๆปี จึงน่าจะสรุปได้ว่า  ปัจจัยสำคัญที่ขงเบ้งได้นำมาประยุกต์ใช้ในการเรียก
ลมพายุมาหนุนเพลิงที่จุดขึ้นให้ไปเผากองทัพเรือของโจโฉนั้น คือ วิชาโหราศาสตร์ดวงดาวที่ขงเบ้งได้ศึกษามาเช่นกันนี่เอง ส่วนเรื่องการใช้สมาธิในการติดต่ออัญเชิญเทพยดามาช่วยนั้นคงจะมีส่วนอยู่บ้างเพื่อผลทางจิตใจของตนเอง และผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น