ผมได้เขียนบทความโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า
วิชาโหราศาสตร์ดวงดาวมิใช่ศาสตร์ที่เหลวไหลหลอกลวง แต่เป็นวิทยาศาสตร์
แขนงหนึ่งซึ่งสามารถนำมาประยุกต์กับวิทยาศาสตร์แขนงอื่นๆได้ ดังนั้นเมื่อดูชื่อของบทความนี้แล้วค่อนข้างจะยาวเป็นพิเศษและเกี่ยวข้อง
โดยตรงกับเรื่อง สามก๊ก ตอน "เผาทัพเรือโจโฉ"
ท่านที่ได้ชมภาพยนตร์ตอนนี้ หรือ เคยอ่านเรื่องราวมาแล้ว คงจะจำได้ว่าเล่าปี่โดยขงเบ้ง
ได้ร่วมกับซุ่นกวนโดยจิวยี่วางแผนเผาทัพเรือของโจโฉซึ่งมีกำลังมหาศาลที่เข้ามาประชิดเมืองเกงจิ๋วโดยขงเบ้งเป็นผู้ทำพิธีเชิญเทพยดา
มาดลบันดาลให้ลมพัดเปลี่ยนทิศทางต้นลมจากด้านกองทัพเรือโจโฉมาอยู่ทางด้านกองทัพจิวยี่แทนได้อย่างน่ามหัศจรรย์
จิวยี่จึงสามารถเผา ทัพเรือโจโฉได้โดยอาศัยแรงลมที่เปลี่ยนทิศนี้เองจนสำเร็จ
ผมเชื่อว่าคงจะมีท่านผู้ชมอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังกังขาอยากทราบว่าข้อเท็จจริง
ของตอนนี้เป็นอย่างไร เป็นเรื่องจริงอิงนิยาย ? รือเป็นเรื่องอภินิหารของคนโบราณซึ่งผู้บันทึกจดหมายเหตุและพงศาวดารมักนิยมแต่งเติม
เสริมความให้เป็นที่น่าเลื่อมใสของคนรุ่นหลัง
หนังสือเรื่อง "สามก๊ก" ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน)
ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในตอนนี้ไว้ว่า
"....ขงเบ้งรับเอากระบี่แล้วพาโลซกและทหารทั้งปวงไป
ณ เขาลำปินสาน แล้วทำเป็นดูภูมิที่ให้ทหารปลูกร้านสามชั้น สูงชั้นละสามศอกเศษ
ชั้นต้นนั้นกว้างยี่สิบวายาวยี่สิบวา แล้วให้ขุดเอาดินทิศอาคเนย์มาปั้นเป็นรูปมังกร....
....ฝ่ายขงเบ้งเมื่อเดือนอ้ายแรมสามค่ำเวลาเช้าก็อาบน้ำชำระกายแต่งตัวใส่เสื้อบงเฉียงสยายผมแล้วจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า
บัดนี้เราจะทำการใหญ่แต่บรรดาทหารซึ่งเราจัดไว้นี้ ถ้าเห็นเราทำประการใดก็อย่าให้พูดจาเดินไปจากที่นี่ให้นิ่งปรกติอยู่กว่าเราจะสำเร็จ
แม้ผู้ใดไม่ฟังเราจะเอากระบี่อาญาสิทธิ์ซึ่งจิวยี่ให้มานี้ตัดศีรษะเสีย ครั้นกำชับทหารแล้วขงเบ้งก็ขึ้นไปบนร้านชั้นบน
จึงจุดธูปเทียนขึ้นบูชาแล้วทำนั่งอ่านมนตร์เรียกลมอยู่
ครั้นเวลาอันสมควรแล้วก็พาทหารทั้งนั้นลงมาอาบน้ำกินอาหาร
แล้วก็กลับขึ้นไปทำการอยู่ดังเก่า....
....เวลาเช้าจนรุ่งก็มิได้เห็นลมพัดกลับไป จิวยี่จึง(กล่าว)แก่โลซกว่า
ขงเบ้งนั้นไปทำการวันกับคืนหนึ่งแล้วก็มิได้มีลมสลาตัน โลซกจึงว่า ขงเบ้งทำนั้นเห็นจะได้การอยู่
ครั้นพูดกันดังนั้นแล้วก็ชวนกันคอยดูตั้งแต่เช้าจนเวลาสองยามเศษจึงได้ยินเสียงอื้ออึงข้างทิศอาคเนย์
จิวยี่จึงพาโลซกออกมาดูกลางแจ้งก็มิได้เห็นลมว่าวและลมตะวันตกพัดมาสงบเป็นปรกติอยู่
อีกสักครู่ลมสลาตันก็พัดหนักมา
จิวยี่ก็มีความยินดีแล้วว่าแก่โลซกว่า อันสติปัญญาขงเบ้งรู้ตำราเรียกลมในอากาศหาผู้ใดเสมอมิได้
อุปมาดังจะนับดาวในท้องฟ้าและหยั่งพระมหาสมุทรอันลึกได้...."
ประเด็นที่จะได้หยิบยกมากล่าวต่อไปก็คือ
ขงเบ้งสามารถอัญเชิญเทพยดามาเพื่อขอให้ช่วยเปลี่ยนทิศทางลมให้ได้จริงหรือ
?
ถ้าไม่จริง ขงเบ้งทราบล่วงหน้าได้อย่างไรว่า ลมจะมีการเปลี่ยนทิศ
จึงกล้าอาสากระทำการโดยเอาชีวิตของตนเป็นประกัน?
หากเป็นยุคสมัยนี้ เรื่องการพยากรณ์ล่วงหน้าว่า
ลมพายุจะมีทิศทางการเคลื่อนที่ไปในทิศทางใดด้วยความเร็วเท่าใดนั้น สามารถกระทำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำเนื่องจากมีเครื่องมือที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยช่วยตรวจสอบ
และมีการประสานงานระหว่างหน่วยอุตุนิยมต่างๆทั่วโลก เว้นแต่ในกรณีที่พายุนั้นเกิดขึ้นโดยฉับพลันมิได้คาดคิดทราบล่วงหน้ามาก่อน
ตามความในเรื่อง "สามก๊ก" ตอนนี้ก็จะเห็นได้ชัดว่า
มิได้มีวี่แววว่าลมจะมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางได้โดยฉับพลันซึ่งเป็นสาเหตุทำให้
โจโฉเกิดความประมาทไม่ยอมรับฟังคำท้วงติงของบรรดาที่ปรึกษาจนเกิดการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงในครั้งนี้
เรื่องการอัญเชิญเทพยดาให้มาช่วยเหลือนั้นดูจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ
แม้แต่ผู้แปลเรื่องนี้ก็ยังใช้ข้อความบางตอนไว้ในเอกสารอ้างอิงข้างต้นว่า
"...แล้วทำเป็นดูภูมิที่ให้ทหารปลูกร้านสามชั้น..."
บ้าง "...จึงจุดธูปเทียนขึ้นมาบูชาแล้วทำนั่งอ่านมนตร์เรียกลมอยู่..."
นอกจากนี้ ท่านผู้ชมอีกจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะท่านที่เคยหรือกำลังศึกษาวิทยาศาสตร์ก็คงจะลงความเห็นสอดคล้องกันว่า
เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระเช่นกัน สำหรับประเด็นนี้ผมมีความเห็นเป็นการส่วนตัวว่า
ขงเบ้งเป็นผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ ปฏิภาณปราดเปรื่อง
ทั้งยังมีความรู้ในไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ และศาสตร์อื่นๆอีกหลายสาขาเหนือบุคคลทั่วไป
การที่บุคคลจะมีขีดความ สามารถเช่นขงเบ้งนี้จะต้องมี "พรสวรรค์"
มาแต่ดั้งเดิม ทั้งจะต้องเป็นผู้ที่มีสมาธิสูงส่งที่ช่วยส่งเสริมให้เจ้าตัวมีปัญญาเฉียบแหลมเป็นเยี่ยม
สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธองค์เรื่อง "ศีล สมาธิ ปัญญา" การมีสมาธิสูงในลักษณะนี้จึงทำให้น่าเชื่อว่า
ขงเบ้งสามารถติดต่อกับ
พลังเร้นลับ ที่เรียกกันว่า
"พลังพรหม หรือ พลังเทพย์" ได้
แต่จะแรงเพียงพอที่จะใช้พลังเหล่านี้มาเรียกลมพายุได้หรือไม่เพียงใดนั้น
เป็นสิ่งที่พิสูจน์ทราบได้ยาก เพราะศาสตร์แขนงนี้เป็นศาสตร์ที่จะศึกษา
หรือปรากฏผลให้เห็นได้เป็นการเฉพาะบุคคล มิใช่ศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ความเป็นไปได้ให้ปรากฏเป็นหลักฐานที่ใช้อ้างอิงหรือเขียนเป็นบทเรียนให้บุคคลทั้วไปศึกษากัน
เช่นศาสตร์แขนงอื่นๆได้ปัจจุบันนี้
หากมิใช่เป็นเช่นประเด็นแรก คำถามต่อมาก็คือ "ขงเบ้งใช้ศาสตร์อะไรในการทำพิธีครั้งนี้
?" ทั้งที่ในยุคสมัยนั้นวิชาการทั้งเครื่องมือเครื่องใช้ในกิจการอุตุนิยมวิทยาก็ยังไม่ทันสมัยเช่นในปัจจุบัน
ประเด็นนี้ ผมขอตอบแทนขงเบ้งให้เลยว่า ใช้วิชาการโหราศาสตร์ดวงดาวที่ของเบ้งได้ร่ำเรียนมานั่นเอง
ขงเบ้งเคยกล่าวกับโลซกว่า "ผู้ที่จะเป็นผู้นำทัพที่ดีจำเป็นต้องศึกษาทั้งเวทมนต์คาถาและโหราศาสตร์ประกอบด้วย"
คำตอบของผมที่ตอบแทนขงเบ้งนั้นมิใช่เป็นเรื่องราวที่เหลวไหลไร้สาระเพราะสามารถนำเอาวิชาการโหราศาสตร์ดวงดาวที่ผมได้ศึกษา
ค้นคว้ามาเป็นเวลานานมาพิสูจน์ยืนยันกันได้
ดังจะกล่าวต่อไปนี้
จากการคำนวณย้อนหลังกลับไปจนถึงวันที่ขงเบ้งได้ทำพิธีเชิญเทพยดามาเพื่อขอให้ลม
พายุพัดเปลี่ยนทิศทางไปเผากองทัพเรือโจโฉ
เพื่อตรวจสอบหาจุดที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ต่างๆตามหลักวิชาโหราศาสตร์ดวงดาวได้ผลเป็นที่น่าเชื่อว่า
วันที่ขงเบ้งเริ่มทำพิธีเรียกลม ซึ่งหนังสือฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน)
ได้ระบุว่า เป็นเดือนอ้ายแรมสามค่ำนั้นน่าจะตรงกับวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 207
(หรือย้อนหลังไปประมาณสิบเจ็ดศตวรรษ) และวันที่บรรลุผลเกิดลมพายุขึ้นคือวันที่
7 มกราคม ค.ศ.207 เวลาหลังเที่ยงคืนไปแล้ว เมื่อได้วางจุดที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ต่างๆในวันเวลานั้นไว้ในดวงจะได้ดังที่แสดงไว้ในภาพประกอบตามดวงที่ผมได้คำนวณ
และผูกไว้นี้
มีดาวเสาร์สถิตอยู่ในราศีมิถุนซึ่งเป็นราศีธาตุ
ลมประการหนึ่ง ดาวพฤหัสบดีสถิตอยู่ในราศีกุมภ์ซึ่งเป็นราศีธาตุลมเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีดาวอังคารสถิตอยู่ในราศีธนูร่วมทับดาวราหูเกือบสนิท
ดาวอังคารและดาวราหูนี้ ตามตำรามหาทักษาไทยกล่าวว่า
เป็นดาวคู่ธาตุลม ดาวทั้งหมดในกลุ่มนี้มีเชิงมุมองศาถึงกันทั้งสิ้น
กล่าวคือดาวเสาร์เล็งดาวอังคารร่วมกับดาวราหูทำมุมประมาณ 180 องศา และทำมุมประมาณ
120 องศา (ตรีโกณ) กับดาวพฤหัสบดี ปรมาจารย์โหราศาสตร์อินเดียท่านหนึ่งคือ
B.V. RAMAN ได้กล่าวถึงอิทธิพลของ
ดาวพระเคราะห์ที่มีต่อดินฟ้าอากาศของโลกไว้เป็นสาระว่า
"...ลมทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จะมีความรุนแรง ในกรณีที่ดาวเสาร์ หรือดาวอังคาร
สถิตในราศีมิถุน ราศีตุลย์ หรือ ราศีกุมภ์ ราศีหนึ่งราศีใด และดาวพระเคราะห์ทั้งสองโคจรมาเล็งกัน
หรือ ทำมุม 90 องศาแก่กัน ... ดาวเสาร์จะมีอิทธิพลต่อลมมรสุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ดาวพฤหัสบดีมีอิทธิพลต่อลมทิศตะวันตกเฉียงใต้ ... หากดวงดาวใดสถิตในราศีธาตุลมด้วยแล้วจะส่งผลในเรื่องทิศทางได้แน่นอนขึ้น..."
(PLANETARY INFLUENCES ON HUMAN by B.V.RAMAN)
จะเห็นได้ว่า จุดที่ตั้งจองดาวพระเคราะห์ทั้งสามคือ
ดาวเสาร์ ดาวอังคาร และ ดาวพฤหัสบดีสถิตอยู่ในราศี และทำมุมถึงกันตรงตามตำรา
ที่ท่าน B.V.RAMAN ได้กล่าวไว้ นอกจากนี้ ดาวอังคารยังอยู่ร่วมทับทันองศาของดาวราหูซึ่งเป็นดาวคู่ธาตุลมอีกด้วย
ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเลยที่ในช่วงเวลาที่ขงเบ้งทำพิธีขอให้เทพยดาดลบันดาลให้ลมพายุพัดไปทางทิศตะวันตก
ทั้งที่ในฤดูกาลนั้นควรจะมีแต่ลมทิศตะวันออกทางเดียวดังที่โจโฉได้กล่าวไว้แก่บรรดากุนซือของตนก่อนหน้านั้น
ที่ผมได้กล่าวไว้ข้งต้นนี้จึงช่วยส่งเสริมคำพยากรณ์ให้แน่นแฟ้นได้เลยว่า จะบังเกิดลมพายุรุนแรงพัดจากทิศตะวันออกไปทางทิศ
ตะวันตกซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทัพเรือของโจโฉ
ดังนั้น เมื่อจิวยี่เทราดน้ำมันลงไปในแม่น้ำแล้วจุดไฟ ลมพายุที่เกิดขึ้นจึงช่วยทำให้เพลิงลุกลาม
ไปเผากองทัพเรือของโจโฉซึ่งถูกตรึงไว้ด้วยโซ่โดยเพทุบายของฝ่ายจิวยี่จนพินาศสิ้นด้วยเหตุผลทางโหราศาสตร์ดวงดาวที่ปรมาจารย์ชาติต่างๆ
ได้ประมวลรวบรวมไว้เป็นสถิติพยากรณ์มาเป็นพันๆปี จึงน่าจะสรุปได้ว่า
ปัจจัยสำคัญที่ขงเบ้งได้นำมาประยุกต์ใช้ในการเรียก
ลมพายุมาหนุนเพลิงที่จุดขึ้นให้ไปเผากองทัพเรือของโจโฉนั้น
คือ วิชาโหราศาสตร์ดวงดาวที่ขงเบ้งได้ศึกษามาเช่นกันนี่เอง ส่วนเรื่องการใช้สมาธิในการติดต่ออัญเชิญเทพยดามาช่วยนั้นคงจะมีส่วนอยู่บ้างเพื่อผลทางจิตใจของตนเอง
และผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น